วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ประสบการณ์ผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญต่อ SEO

ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ UX ที่เต็มเปี่ยม อย่างไรก็ตามควรทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน UX ของเว็บไซต์จำนวนมาก

การเพิ่มประสิทธิภาพของ UX ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเน้นผู้เข้าชม

ทุกสิ่งที่เราทำในขอบเขตของการตลาดบนเว็บจะต้องตอบโจทย์กลุ่มมีผู้ชมที่เข้าใช้งานเว็บไซต์

ใช่แล้วเราทำสิ่งต่างๆสำหรับ Search Engines แต่ Search Engines มักจะเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการเป็นหลัก

เครื่องมือค้นหามีข้อมูลการทำเหมืองข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดในโลก พวกเขาไม่ใช่แค่ช่วยให้ผู้คนค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขากำลังรวบรวมข้อมูลที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ จากข้อมูลนั้นอัลกอริทึมได้รับการปรับแต่งเพื่อให้ผู้ค้นหาได้รับสิ่งที่ต้องการมากขึ้นและน้อยลงในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ

นอนไม่หลับ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ทำ SEO เพื่อสร้างธุรกิจ เพิ่มยอดขายให้ปังกว่าเดิม

ในปัจจุบัน การทำ SEO โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจออนไลน์ นั้น เป็นสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น และ การเพิ่มจำนวนคนเข้ามาถึงเว็บไซด์ของเรา จากการค้นหา ใน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือ 10 ปัจจัยสำคัญ ที่จำเป็นต่อการเพิ่มอันดับ SEO ให้กับเว็บไซต์

1. Content (เนื้อหาบนเว็บ) - ในบรรดาปัจจัยทั้งหมด เนื้อหา หรือ Content ก็ยังคงมีความสำคัญมากที่สุด ต่อการจัดอันดับ ของ Google โดย Google จะดูถึงความเกี่ยวข้องของเนื้อหา มากกว่า การใส่ใจ เรื่อง keyword ว่าจะมีแทรกอยู่ในบทความหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ถ้า content ที่เขียนนั้น มีเนื้อหาที่ยาว, ละเอียด และสามารถบอกเล่าข้อมูลต่างๆได้ดี ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะติดอันดับต้นๆ

2. Mobile Friendly User (ความคล่องตัวในการเข้าเว็บผ่านมือถือ) - ทุกวันนี้ การเข้าถึงเว็บไซด์นั้น สามารถเข้าผ่านได้จากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเข้าผ่านทาง คอมพิวเตอร์ธรรมดา,โน้ตบุ๊ก หรือแม้กระทั่ง โทรศัพท์มือถือ (smart-phone) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่เราแทบทุกคนขาดไม่ได้ และ ถ้าบริษัทสามารถทำ เว็บไซด์ ให้เข้าผ่านมือถือได้อย่างรวดเร็ว ก็จะยิ่งเปิดโอกาสให้คนอยากเข้ามาคลิกดูที่หน้าเพจเราเพิ่มขึ้น

3. Back- Link (แบ็คลิ้งค์) - การทำ back-link นั้น ก็มีความสำคัญ back-link หรือในความหมายแบบง่ายๆ คือ การที่มีลิ้งค์ของเว็บไซด์เราอยู่ที่เว็บไซด์อื่นโดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน และยังเป็นเครื่องบ่งชี้สำหรับ Google ด้วยว่า เว็บไซด์ของเรานั้น ได้รับการยอมรับ โดยเราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง จากการ เอาลิ้งค์ของเราใส่เข้าไปในเว็บไซด์อื่นๆที่เราต้องการจะโปรโมทเว็บ เมื่อคนได้อ่านคอนเท้นและเกิดความสนใจ ทำให้มีผู้ใช้เข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากขึ้น

4. Long- Tail Keywords - Long-Tail Keywords คือ keyword ที่มีความเจาะจงเฉพาะสูงโดยจะเฉพาะเจาะจงลงไปว่า คำๆนั้น มีความหมายว่าอะไร? ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำเว็บไซด์ควรคำนึงถึง คุณสมบัติของ keywords ประเภทนี้จะประกอบด้วยคำหลายๆ คำมารวมกัน ตัวอย่างเช่น

5. Publish New Blog Posts (เพิ่มโพสต์) - การอัพเดตและ เผยแพร่ โพสใหม่ๆ จะเป็นการช่วยให้มี อันดับบนเว็บ ที่ดีขึ้นกว่า บทความเก่าๆ

6. Image SEO( ทำ SEO รูปภาพ) - ในการทำ SEO นั้น นอกเหนือจากที่เราจะทำ SEO ในรูปแบบของ text แล้ว เรายังสามารถทำ SEO ในแบบของรูปภาพ ได้เช่นกัน การทำ SEO รูปภาพ นั้น มีประโยชน์อย่างมาก คือ ทำให้ search-engine เค้าเข้าใจถึงรูปภาพที่เราใส่ลงไป และทำให้รูปของเราไปติดในหมวดค้นหา อื่นๆ ได้ เช่น หมวดรูปภาพ บน Google ซึ่งเทคนิคหลักๆคือ ควรใช้รูปภาพที่ถ่ายด้วยตัวเราเอง(ดีกว่ารูปที่ซื้อมา) และ ควรตั้งชื่อรูปภาพที่สื่อความหมายให้ถูกต้อง โดยตั้งเป็น ภาษาอังกฤษ (Toyota-yaris.jpg, lovely-dog.jpg) เป็นต้น

7. Traffic( สร้าง traffic ให้คนเข้าเว็บ) - การสร้างเว็บไซด์ขึ้นมานั้น มีเป้าหมายหลักๆ คือ การทำให้คนภายนอกมีการรับรู้ถึง สินค้า และ บริการ ของเรา โดยผ่านช่องทางเว็บไซด์ที่เราสร้างขึ้นมา การทำ website traffic ก็คือการ ทำให้มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมขมเว็บไซด์ของเราให้มากขึ้น โดยควรให้ความสำคัญกับ 3 traffic หลักๆ ได้แก่ direct traffic, referral traffic, และ search engine traffic

7.1 Direct Traffic : ทราฟฟิกที่มาจากการเข้าเว็บไซด์โดยตรง และไม่ผ่านการค้นหาใน Google หรือ Social Media โดยมาจากการ พิมพ์เว็บไซด์ URL บน เบราเซอร์, คลิกเข้า link จากไฟล์เอกสารอย่าง Word, Excel หรือแม้กระทั่งคลิกผ่านเว็บที่เราเซฟ bookmark เอาไว้

7.2 Referral Traffic : ทราฟฟิกอีกประเภทที่คลิกเข้ามาที่เว็บไซด์จาก การคลิก ลิ้งค์ ผ่านเว็บไซด์ อื่นๆ เช่น ตาม โซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram), คอมเม้นจากไซด์อื่น, Google Image เป็นต้น

7.3 Search engine Traffic : ทราฟฟิกที่เชื่อมต่อมาถึงเว็บโดยตรงผ่านการค้นหาใน search engine โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

7.3.1 Paid Search Traffic : ทราฟฟิกที่มาจากการเสียเงินให้กับ search engine เช่น Google Adwords

7.3.2 Unpaid Search Traffic : ทราฟฟิกที่มาจากการจัดอันดับเว็บบน search engine แบบปกติ ไม่ได้มีการเสียเงินแต่อย่างใด

8. HTTP - https:// เป็นการเข้ารหัสข้อมูลจากเว็บไซด์ของเรา เป็นการเพิ่มความปลอดภัยเวลาติดต่อสื่อสาร หรือ ส่งข้อมูล กันบน อินเทอร์เน็ตจะมีจุดสังเกตง่ายๆ ตรงมุมซ้ายบนที่มีรูปตัวล็อกกุญแจข้างๆ https:// การเข้ารหัสนั้น มีผลดีตรงที่ว่า Google จะมองว่าเว็บเรานั้นมีการใส่ใจเรื่องของ ความปลอดภัยของข้อมูล ส่งผลให้การจัดอันดับบน Google ดีขึ้นตามไปด้วย

9. Voice Search (เพิ่มคำสั่งเสียง) - การเข้าถึงเว็บไซด์นั้นมีหลายช่องทาง และ Google ก็ได้มีการสร้างเครื่องมือใหม่ๆ ออกมา อย่างเช่น การค้นหาโดยใช้เสียงของเรา อย่าง “voice search” และ ถ้าเว็บของเรานั้น มีการเพิ่มทางเลือกด้วย คำสั่งเสียง ที่ผู้คนนิยมพูดคำๆนั้นบ่อยๆ ก็จะเป็นผลดีต่ออันดับเว็บเราอีกเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เว็บไซต์ เร็วกว่า ดีกว่าจริงหรือ ? กับการทำ SEO

1. เร็วกว่าใช่จะ 'ดีกว่า'

สิ่งแรกที่เราลงมือทำคือความเว็บของเว็บไซต์ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณเร็วขึ้นเท่าใด Google ก็จะให้ความสำคัญกับไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น โดยเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบความเร็วของเว็บไซต์จาก Google มีชื่อว่า Google PageSpeed Insights โดยเครื่องมือตัวนี้จะบอกถึงสิ่งที่ต้องปรับปรุงในเว็บไซต์เพื่อให้เว็บมีเความเร็วมากยิ่งขึ้น

หนึ่งในสิ่งที่ถูกแนะนำให้แก้ไขและปรับปรุงคือ คุณภาพของรูปภาพในเว็บไซต์ หลายๆเว็บไซต์มีรูปภาพที่มีขนาดใหญ่เกินไปทำให้ใช้เวลาในการโหลดเข้าเว็บไซต์นานจนเกินไป คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการรีไซต์หรือลดขนาดคุณภาพของรูปภาพลงเพื่อความเร็วในการโหลดภายในเว็บไซต์

อีกหนึ่งวิธีที่สามารถเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ได้คือการทำ แคชชิ่ง หรือ เก็บข้อมูลการโหลดของเว็บไซต์สำหรับคนเข้าใช้งาน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คนที่เข้าใช้งานเว็บเมื่อออกไปแล้วกลับมาอีกครั้งจะใช้เวลาในการโหลดหน้าเว็บน้อยลง

บทความจาก : www.seo-winner.com

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เว็บไซต์ที่ทำควรมีฟังก์ชันยังไง?

คำถามนี้เจ้าของธุรกิจควรต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนเลยว่า "ธุรกิจของคุณคืออะไร" และ "คุณต้องการให้เว็บไซต์เป็นอะไรสำหรับคุณ"

ถ้าคุณทำธุรกิจขายบ้าน - คงไม่มีใครบ้าทำเป็นเว็บไซต์ E-Commerce แบบ "หยิบสินค้าใส่ตะกร้า" แล้วเลือกชำระเงิน พร้อมใบเสร็จรับเงิน "บ้าน 1 หลัง + Full Furniture ราคา 3.5 ล้านบาท" ถ้าเป็นธุรกิจแนวนี้ก็ต้องเน้นการทำเว็บไซต์แบบให้ข้อมูล (Information) แล้วทำแบบฟอร์มเพื่อเก็บ Leads และติดต่อหาลูกค้าเพื่อปิดการขายอีกทีหนึ่ง เพราะบ้านไม่ได้ขายได้ด้วยตัวมันเอง แต่ต้องอาศัยการพูดคุยกับเซลล์เพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจด้วย

ถ้าคุณทำธุรกิจขายกระเป๋า หรือเสื้อผ้า - สินค้าแฟชั่นจะขายได้หรือไม่ได้ ส่วนใหญ่อยู่ที่ดีไซน์ และความสวยงาม ซึ่งเท่ากับว่า มันขายได้ด้วยตัวมันเอง เราก็ทำเป็นเว็บ E-Commerce ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้า พร้อมตัดสต๊อกได้ทันที โดยที่ไม่ต้องคุยแชทเพื่อ CF กันด้วย

แต่ถ้าหากคุณต้องการเว็บไซต์ในแบบที่คุณดีไซน์ไว้ โดยมีฟังก์ชันที่ต้องการ 1, 2, 3,... และรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ อีกมาก คุณอาจจะต้องสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเอง เพื่อสร้างฟังก์ชันนั้นๆ ให้ตรงตามต้องการ ซึ่งจุดนี้อยู่ที่เจ้าของธุรกิจเป็นหลัก

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

รูปแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ มีโครงสร้างแบบไหนบ้าง ?

การออกแบบโครงสร้างของเว็บไซต์ สามารถทำได้หลากหลายแบบ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการนำเสนอ เพราะจะต้องออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยโครงสร้างของเว็บไซต์ส่วนใหญ่ก็จะประกอบไปด้วย 4 รูปแบบดังนี้

1. โครงสร้างแบบเรียงลำดับ
โครงสร้างเว็บไซต์แบบเรียงลำดับ จะเป็นโครงสร้างแบบธรรมดาที่นิยมใช้งานกันมากที่สุด เนื่องจากมีความง่ายต่อการจัดระบบข้อมูล และสามารถนำเสนอเรื่องราวตามลำดับได้เป็นอย่างดี เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีขนาดเล็ก มีเนื้อหาที่ไม่ซับซ้อน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ หรือเว็บไซต์องค์กรขนาดย่อม โดยลักษณะการลิ้งค์เนื้อหา ก็จะลิ้งค์ไปทีละหน้า มีทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาต่างๆ ในแบบเส้นตรง ใช้ปุ่มเดินหน้า-ถอยหลังในการกำหนดทิศทาง จึงทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างง่าย แต่โครงสร้างเว็บไซต์แบบเรียงลำดับก็มีข้อเสีย คือจะทำให้ผู้ใช้งานต้องเสียเวลาในการเข้าสู่เนื้อหาเพราะไม่สามารถกำหนดทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาด้วยตัวเองได้

2. โครงสร้างแบบลำดับขั้น
โครงสร้างแบบลำดับขั้น นิยมใช้กับเว็บที่มีความซับซ้อนของข้อมูล เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยจะมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ และมีการนำเสนอรายละเอียดย่อยๆ ที่ลดหลั่นกันมา ทำให้สามารถทำความข้าใจกับโครงสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น โดยจะมีโฮมเพจเป็นจุดเริ่มต้น และจุดร่วมจุดเดียวที่จะนำไปสู่การเชื่อมโยงเนื้อหาเป็นลำดับจากบนลงล่าง

3. โครงสร้างแบบตาราง
โครงสร้างแบบตาราง เป็นโครงสร้างการออกแบบเว็บไซต์ที่มีความซับซ้อน แต่ก็มีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่เนื้อหาต่างๆ ได้ง่ายขึ้น การออกแบบในลักษณะนี้จะมีการเชื่อมโยงเนื้อหาในแต่ละส่วนซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนทิศทาง หรือกำหนดทิศทางในการเข้าสู่เนื้อหาด้วยตัวเองได้ จึงไม่ทำให้เสียเวลา แถมยังทำให้เว็บไซต์มีความทันสมัยขึ้น

4. โครงสร้างแบบใยแมงมุม
โครงสร้างแบบใยแมงมุม เป็นโครงสร้างที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะมีความยืดหยุ่นมากที่สุด โดยทุกหน้าเว็บจะมีการเชื่อมโยงถึงกันหมด ทำให้สามารถเข้าถึงหน้าเว็บเพจต่างๆ ที่ต้องการได้อย่างง่าย และมีความอิสระมากขึ้น นอกจากนี้ก็สามารถเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์ภายนอกได้ดี

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Amazon CloudSearch คืออะไร รู้ได้ที่นี่ก่อนใคร

Amazon CloudSearch คือบริการที่ได้รับการจัดการใน AWS Cloud ทำให้เป็นบริการที่ใช้ได้ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง จัดการ และปรับโซลูชันการค้นหาสำหรับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

Amazon CloudSearch รองรับภาษาต่างๆ ถึง 34 ภาษาและคุณสมบัติการค้นหาที่เป็นที่นิยม เช่น การไฮไลต์ การป้อนคำอัตโนมัติ และการค้นหาภูมิสารสนเทศ ดูประโยชน์เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

ประโยชน์ของ Amazon CloudSearch

เมื่อใช้ Amazon CloudSearch คุณจะเพิ่มความสามารถในการค้นหาที่รวดเร็วและสมบูรณ์แบบให้กับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นหาหรือกังวลเกี่ยวกับการเตรียม การติดตั้ง และการบำรุงรักษาฮาร์ดแวร์ ด้วยการคลิกไม่กี่ครั้งใน AWS Management Console คุณจะสามารถสร้างโดเมนการค้นหาและอัปโหลดข้อมูลที่คุณต้องการให้ค้นหาได้ และ Amazon CloudSearch จะเตรียมทรัพยากรที่จำเป็นและปรับใช้ดัชนีการค้นหาที่ปรับแต่งมาอย่างดีโดยอัตโนมัติ

คุณสามารถค้นหาพารามิเตอร์ ปรับความเกี่ยวเนื่องของการค้นหาโดยละเอียด และนำการตั้งค่าใหม่ไปใช้ได้อย่างง่ายได้ ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม เมื่อปริมาณข้อมูลและการใช้งานเกิดการเปลี่ยนแปลง Amazon CloudSearch สามารถปรับขนาดให้ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างราบรื่น

Amazon CloudSearch มาพร้อมกับความเรียบง่าย

คุณสามารถกำหนดและจัดการโดเมน Amazon CloudSearch ผ่าน AWS Management Console, AWS CLI และ AWS SDKs ได้ เพียงชี้ไปที่ตัวอย่างข้อมูล และ Amazon CloudSearch จะแนะนำวิธีการกำหนดตัวเลือกการทำดัชนีของโดเมนโดยอัตโนมัติ คุณสามารถเพิ่มหรือลบช่องดัชนีและกำหนดตัวเลือกการค้นหา เช่น การคัดกรองและการไฮไลต์ ได้อย่างง่ายดาย คุณไม่จำเป็นต้องอัปโหลดข้อมูลใหม่อีกครั้งเมื่อเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า

ศึกษา Amazon CloudSearch เพิ่มเติมได้ที่ Amazon CouldSearch

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทำ SEO ให้กับ Facebook Page ยังไงให้มีคุณภาพ

1. Quality Update และ 2. Limited Facebook Page บนหน้า SERPs ส่งผลให้ ทำ SEO กับ Facebook Page ไม่ง่ายแบบในอดีต เพราะคุณจำเป็นที่จะต้องทำให้เพจ อยู่ในระดับ Top Quality #1 #2 #3 #4 จากเพจทั้งหมดของ Keyword นั้นๆในสายตาของ Google … มันถึงจะยอมแสดงผลการค้นหาให้

พูดแบบง่ายๆได้ว่า หากเฟสบุ๊คเพจคุณ Google มองแล้วมีคุณภาพต่ำกว่าคู่แข่งที่เป็นเพจด้วยกัน คือต่ำกว่าอันดับที่ 4 ในสายตามัน เพจคุณหมดสิทธิ์ขึ้นหน้า Google … ซึ่งนี่เป็นนัยยะที่บ่งบอกเราว่า นอกเหนือจากคู่แข่งที่เป็น Website อื่นๆ คู่แข่งตัวสำคัญที่สุดของคุณ ณ ตอนนี้ คือ Facebook Page ด้วยกันนี่แหละ

ดังนั้นแทนที่เราจะมุ่งเป้าไปที่โจทย์แบบเดิมๆ ที่ว่า “วิธีทำ SEO Facebook Page ทำอย่างไร ?” ควรเปลี่ยนใหม่เป็น “วิธีทำ Facebook Page ให้มีคุณภาพ (สูงสุดในสายตา Google) ทำอย่างไร ?” ซึ่งหากพยายามมอง Facebook Page ให้เหมือนกับ Website จะพบว่ามันมีองค์ประกอบสำคัญๆที่คล้ายกัน

  • 1. Title หรือ ชื่อเพจ – เทียบได้กับ Title ที่เราเขียนใส่ในหน้าเว็บไซต์
  • 2. Main Menu – เทียบได้กับเมนูบนเว็บไซต์ แต่บนเฟสเพจจะประกอบไปด้วย
    • • Timeline (ไทม์ไลน์) – เทียบได้กับ เมนู HOME (หน้าแรก) ในเว็บไซต์
    • • About (เกี่ยวกับ) – เทียบได้กับ เมนู About ในเว็บไซต์
    • • Photos (รูปภาพ) – เทียบได้กับ เมนู Gallery ในเว็บไซต์
    • • Likes (ไลค์) – อาจเทียบได้กับตัวนับสถิติ ของเว็บไซต์
    • • More (เพิ่มเติม) – ในที่นี้อาจจะเห็น Notes, Videos, App ก็นับว่าเป็นเมนูบนเว็บไซต์
  • 3. Main Content – เทียบได้ เนื้อหา หลักในเว็บไซต์
  • 4. Sidebar – เทียบได้กับ Sidebar ในเว็บไซต์ ซึ่งถือเป็น Supplementary Content ในที่นี้ มี

การปรับแต่ง Onpage ให้กับ Facebook

1. การตั้งชื่อเพจ ถือเป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด อันดับ #1 ในการช่วยทำให้ Google เข้าใจได้ว่า เพจของเราเกี่ยวกับอะไร ดังนั้น หากเราต้องการทำ SEO ให้กับเฟสเพจ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องแทรก Keyword (คำค้นหา) ลงไปในชื่อเพจด้วย และที่สำคัญคือ นอกเหนือจากจะมีผลต่อ Google แล้ว ยังมีผลต่อ Search บนตัว Facebook เอง (การค้นหาจากเฟสบุ๊คโดยตรง)

2. การใส่ข้อมูลของเพจ (Page Info) ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่มองข้ามไปไม่ได้เช่นกัน เพราะเนื่องจากจะส่งสัญญาณบอก Google แล้ว ยังช่วยให้ Audience (คนดู) รู้จักเราหรือธุรกิจของเรา มากยิ่งขึ้น โดยส่วนที่สำคัญๆที่ต้องเน้น

3. Timeline บนเฟสบุ๊คเพจ เปรียบเสมือน หน้า Homepage ถ้ามองเทียบกับ Website ปกติ ผมมองว่ามันมีลักษณะ คล้ายๆกับ One-Page Designed Website (คือ เว็บที่มีหน้าเดียว เวลาดูข้อมูลจะเลื่อนลงมาเรื่อยๆ ไม่ใช่ Multi-Page แบบเว็บทั่วไป One-Page Website เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เหตุเพราะมันเหมาะกับการดูบนมือถือ)

4. ในอดีตผมเคยคิดว่า รูปภาพ นั้นไม่สำคัญ และไม่มีความจำเป็น และเชื่อว่าคนทำ SEO กับ Facebook Page หลายๆคนก็คงจะมองข้ามจุดนี้ไปเช่นกัน แต่ผมขอบอกแบบ “ฟันธง” ตรงนี้เลยว่า ในปัจจุบัน “เพจที่มีการอัพรูปภาพ Image ลงเยอะๆ มีแนวโน้ม ที่จะทำถูกจัดอันดับได้ดีกว่าเพจที่มีรูปน้อย”